เมนู

ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์ และกฏัตตารูป ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย.
[1672] 5. อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย

คือ เหตุที่เป็นอสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย.
[1673] 6. อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย

คือ เหตุที่เป็นอสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน-
รูป ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย.
[1678] 7. อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม และอสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจ
ของเหตุปัจจัย

คือ เหตุที่เป็นอสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูป ด้วยอำนาจของเหตุปัจจัย.

2. อารัมมณปัจจัย


[1675] 1. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่สังกิลิฏฐ-
สังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ 1. บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งราคะ เพราะปรารภราคะ
นั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส ย่อมเกิดขึ้น. บุคคลย่อมยินดีซึ่งทิฏฐิ
ฯลฯ เพราะปรารภวิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ
ในกุสลติกะ ท่านจำแนกไว้อย่างไร พึงจำแนกอย่างนั้น.
[1676] 2. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ 1. พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสที่ละแล้ว.
2. พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว.
3. รู้กิเลสที่เคยเกิดแล้วในกาลก่อน.
4. พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม โดยความ
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา.
5. รู้จิตของบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็นสังกิลิฏฐ-
สังกิเลสิกธรรม ด้วยเจโตปริยญาณ.
6. พระเสกขะหรือปุถุชน พิจารณาเห็นขันธ์ที่เป็นสังกิลิฏฐสัง-
กิเลสิกธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อกุศลดับ
ไปแล้ว ตทารัมมณจิตอันเป็นวิบาก ย่อมเกิดขึ้น.
7. ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ที่เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิก-
ธรรม โทมนัส ย่อมเกิดขึ้น เมื่ออกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตอันเป็นวิบาก
ย่อมเกิดขึ้น.
8. ขันธ์ที่เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริย-
ญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ
แก่อาวัชชนะ ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.

[1677] 3. อสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ 1. บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณา
กุศลนั้น.
2. บุคคลพิจารณากุศลที่สั่งสมไว้ในกาลก่อน.
3. บุคคลออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน.
4. พระอริยบุคคลพิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน.
5. พิจารณาเห็นจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา พิจารณา โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
หทยวัตถุ และขันธ์ที่เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา.
6. เห็นรูปด้วยทิพยจักษุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ
7. รู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียง ด้วยจิตที่เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเล-
สิกธรรม ด้วยเจโตปริยญาณ.
8. อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ
9. อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.
10. รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ด้วยอำนาจของ
อารัมมณปัจจัย ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ด้วยอำนาจ
ของอารัมมณปัจจัย.
11. ขันธ์ที่เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
แก่เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่
อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.

[1678] 4. อสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัง-
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ 1. บุคคลให้ทาน สมาทานศีล ทำอุโบสถกรรมแล้ว ย่อมยินดี
ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง กุศลนั้น เมื่อปรารภกุศลนั้น ราคะ ทิฏฐิ โทมนัส
ย่อมเกิดขึ้น.
2. บุคคลย่อมยินดีกุศลที่ได้สั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน.
3. ออกจากฌาน. ยินดีฌาน ยินดีจักษุ ฯลฯ ยินดีโผฏฐัพพายตนะ
ฯลฯ หทยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ที่เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เพราะปรารภกุศล
เป็นต้นนั้น ราคะ โทมนัส ย่อมเกิดขึ้น.
[1679] 5. อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.
[1680] 6. อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย

คือ 1. พระอริยบุคคลออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณา
ผล พิจารณานิพพาน.
2. นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่อาวัชชนะ ด้วย
อำนาจของอารัมมณปัจจัย.
3. พระอริยบุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิตที่เป็น
อสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม ด้วยเจโตปริยญาณ.

4. ขันธ์ที่เป็นอสังกิลิฏฐอสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริย-
ญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ ด้วย
อำนาจของอารัมมณปัจจัย.

3. อธิปติปัจจัย


[1681] 1. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่สังกิลิฏฐ-
สังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย

มี 2 อย่าง คือ ที่เป็น อารัมมณธิปติ และ สหชาตาธิปติ
ที่เป็น อารัมมณาธิปติ ได้แก่
1. บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำราคะให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ครั้นกระทำราคะนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว
ราคะ ทิฏฐิ ย่อมเกิดขึ้น.
2. บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำทิฏฐินั้นให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ครั้นทำทิฏฐินั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ราคะ
ทิฏฐิ ย่อมเกิดขึ้น.
ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่
อธิปติธรรมที่เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย.
[1682] 2. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่อสัง-
กิลิฏฐสังกิเลสิกธรรม ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย

มีอย่างเดียว คือ ที่เป็น สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นสังกิ-
ลิฏฐสังกิเลสิกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ด้วยอำนาจของอธิปติปัจจัย.